ยามสนทยาพระอาทิตย์โบกมือลาปราสาทนครวัด นกกากลับรวงรัง สายลมเริ่มโชยระบายคลายหนาว สารถีอะเล็คพาคณะสี่พยัคฆ์คำเลาะขึ้นรถโฟร์วิลฝ่ากลางเมืองเสียมเรียบเลาะลัดหลบหลีกการจราจรที่พลุกพล่านเจือฝุ่นเล็กน้อย เสียงบีบแตรรถพอประมาณแต่ไม่วุ่นวายน่ากลัวเท่าเมืองเวียตนาม
ตามที่คณะเราตกลงกันไว้ โปรแกรมของเราจะเป็นแบบชื่น และ ชม ชื่นใจเมื่อได้ทานอาหาร และชมสาวงามแขร์อังกอ คือว่าจะทานไปด้วยพร้อมกับชมการแสดงของระบำอัปสรา ใครมาเสียมเรียบไม่มาชมระบำอัปสรา ถือว่ามาไม่ถึงเมืองเขมร มีคำกล่าวของ Arnold J. Toynbee นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษพูดถึงนครวัดว่า"See Angkor Wat and Die" ไปดูนครวัดแล้วค่อยตายตาหลับ
แต่ท้าวไซยคำเลาะกล่าวไว้บ้างเผื่อคนจะจดจำว่า ไปดูระบำอัปสราแล้วหน้าตาจะอ่อนเยาว์กระชุ่มกระชวยอายุยืนขึ้นอีก ๑๐ ปี อิอิ
ดังนั้นสารถีอะเล็คก็พาเราไปที่ร้านอาหารบุปเพ่แบบมีโชว์ด้วยชื่อภัตราคารกูเลน ระหว่างหนทางเราผ่านร้านกินดื่มนั่งดริ๊งค์แบบที่พัทยา หรือแบบอาหารริมถนนรถเข็น หรือร้านแบบตลาดกลางคืน หลากหลายรูปแบบ
ภัตราคารกูเลนเป็นแบบบุพเพ่ ตักมานั่งทานอาหารมากมายหลากหลายรสชาติ เอาใจหลากหลายกลุ่มชน อาหารฝรั่ง เวียตนาม ลาวไทย ข้าวต้มมีหมด แม้กล้วยแขกทอดยังมีเลย แต่ถ้าใครตักช้าท้ายๆ รายการก็จะหดเหี้ยนหายเหมือนกัน
อาหารผ่านไปพอสมควร คราวนี้มโหรีปี่พาดมาเล่นบรรเลงเพื่อกล่อมผู้ชมให้อาหารอร่อยแซบนัวยิ่งขึ้น จากนั้นก็มีการแสดงรำบำรำฟ้อนเหมือนเซิ้งกระลามะพร้าว จังหวะเร้าใจ ไม่มีเครื่องดนตรีไฟฟ้า มีแต่พวกระนาด ซอ ฉิ่งฉาบ ปี่ ชมแล้วให้อรรถรสที่ดีงาม เข้าใจเลยกับคำว่า วัฒนธรรมคืออะไร ไม่ต้องขี้โม้ให้เมื่อยมือ
เสร็จจากเซิ้งกระลาก็มาเซิ้งสวิง แต่สวิงที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทย เอาไม้ไผ่มาสานเหมือนดังในรูป ที่เอวแขวนตะข้องใส่ปูปลานาเหน่ว เป็นการจำลองการทำมาหากินตามวิถีชีวิต ที่เด็ดขาดก็ต้องเซิ้งแหย่ไข่มดแดง ทั้งหญิงทั้งชายร่ายรำ เต็นโหย่งเหย่งตอนมดแดงกัด สนุกสนานพวกฝรั่งชอบใจปรบมือหลังการแสดงเสียงดังมาก
นี่แหละเขาถึงว่า ชนชาติที่มีวัฒนธรรมของตนเอง คือชนชาติที่มีแก่นสารสาระ ท้าวไซยก็เลาะพูดไปหลายที่หลายเวทีแล้วว่า วัฒนธรรม คือ กาวใจของสังคม สังคมใด ไม่มีวัฒนธรรม สังคมนั้นจะเสื่อมลงไปทีละน้อย แล้วก็เสื่อมสลายไร้คุณค่า
จากนั้นก็จะมีการแสดงของสาวอัปราใส่เครื่องทรงทรงชฎา นุ่งผ้าสวยงาม บรรยายไม่เป็นเรื่องแบบนี้ดูเอาเองหละกัน ที่เป็นไฮไล้ของการแสดงก็ต้องยกให้ระบำอัปสรานี้แหละ เครื่องทรงที่อลังการห์ แสงสีเสียงที่เร้าใจ การร่ายรำที่สวยงามแช่มช้อยสะกดผู้ชมให้ตราตรึงกับลีลาของเธอ บางคนลืมหายใจก็มี (อันนี้คิดเอาเอง)
ลีลาการร่ายรำของนางอัปสราที่นี่ ว่ากันว่า เธอต้องผ่านการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ ใครที่มีแววจะถูกเคี่ยวกรำให้มีความสามารถเป็นถึงระดับอาจารย์
แต่ละคนกว่าจะแสดงได้ถึงจิตวิญญาณสะกดผู้ชมได้นั้นต้องใช้เวลานานมาก
การแสดงนี้เล่าว่าเหมือนเมื่อครั้งอดีตกาลของอาณาจักรขะแมร์ที่ยิ่งใหญ่ของอังกอต่างๆ
นางอัปรานั้นเป็นหนึ่งใน ๑๔ อย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นตอนกวนเกษียรสมุทร มีอยู่ ๓๕๐๐ นาง ปลิวกระจัดกระจายไปทั่วเมืองเขมร
ดังนั้นการแสดงอัปสรานี้ จึงถือเป็นศิลปะที่ชนทั่วไปสามารถชมดูได้ ทำรายได้ให้นักแสดง และชาวบ้านจับต้องมองเห็นได้ในความงดงาม จึงได้รับการเผยแผ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านที่ไปเสียมเรียบต้องหาเวลาไปชมวัฒนธรรมการร่ายรำของนางอัปสรานี้ให้ได้ ถือว่าห้ามพลาดเด็ดขาด อย่าเสียดายเงิน ตายแล้วไม่ได้ดูชมนะ
ระหว่างการแสดง บอกตรงๆ ว่าท้าวไซยไปแอบอยู่ข้างเวที ยิงกล้องไปเป็นร้อยภาพ ได้แสงสีที่สวยงามไม่ได้แต่งภาพแต่อย่างใด ได้แต่เก็บภาพไว้ในกล้องและหว่างใจ คืนนั้นกระชากวัยอายุหล่นลงมาอีก หลายปี ดูรูปสุดท้ายเถอะ ขนาดท้าวโซคคำเลาะเมื่อยืนเคียงข้างยังหน้าตาอ่อนวัยขึ้นอักโขจริงๆ นะ ส่วนท้าวไซยเอาภาพงามๆ ของเธอกลับไปฝันละเมอค่อนคืน อัปสรา อัปสร้า อัปสร๊า... อิอิ
สาธุ ใครกดไลค์ คอนเม็นต์ท้ายบท
ให้ถูกหวยล้อตเตอรี่หลายๆ ใบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น